ท็อปโฟร์เหนื่อย,ฟอร์มหลุดครึ่งหลัง! 5 ประเด็น แมนยู สำลักบ๊วย เบิร์นลี่ย์

ข่าวกีฬา (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเจอกับปัญหาเดิมๆ นั่นก็คือขาดความเฉียบคมในการจบสกอร์ทำให้แมตช์นี้ “ปีศาจแดง” บุกไปทำได้เพียงเสมอ เบิร์นลี่ย์ 1-1 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตอนนี้ ราล์ฟ รังนิก กุนซือชาวเยอรมันจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อหาทางแก้ไขเรื่องจังหวะยิงประตู, ลูกตั้งเตะ และที่สำคัญฟอร์มในครึ่งหลังซึ่งมักจะดร็อปลงจนโดนคู่แข่งยิงประตูได้ตลอด และหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้มันช่างน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับโอกาสในการคว้าอันดับท็อปโฟร์เหลือเกิน

1. เด เคอา เสียสถิติจากการเยือนเทิร์ฟ มัวร์
ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช เป็นผู้เล่นที่มีสถิติยอดเยี่ยมอย่างมากในการมาเยือน เบิร์นลี่ย์ เพราะเขาไม่เคยเสียประตูให้กับเจ้าบ้านเลยจากการลงสนามในถิ่นเทิร์ฟ มัวร์ ตลอด 6 เกมก่อนหน้านี้

สำหรับแมตช์นี้ดูเหมือนว่า นายทวารเคราแพะ มีโอกาสที่จะยืดสถิติออกไปอีก เนื่องจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานดีเหลือเกินในช่วง 45 นาทีแรก ในขณะที่เขาแทบจะไม่ได้โชว์ฝีมือลายมืออะไรเลย

อย่างไรก็ตามในครึ่งหลักสถานการณ์กลับพลิกผลันกลายเป็นว่า เด เคอา ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น และสุดท้ายเจ้าตัวต้องมาโดนทีเด็ดของ เจย์ โรดริเกซ ที่จัดการส่งบอลให้ทีมของกุนซือฌอน ไดซ์ ได้ประตูตีเสมอ ซึ่งนั่นเป็นจังหวะแรกที่เจ้าบ้านมีโอกาสยิงประตูซะด้วย

หลังจากนั้น เบิร์นลี่ย์ ยังเกือบได้ประตูที่สองจากจังหวะยิงไกล วูท เวกฮอร์สต์ แต่เดชะบุญที่ โกลทีมชาติสเปน ป้องกันเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้น “ผีแดง” อาจจะต้องกลับบ้านมือเปล่าก็ได้

2. สร้างโอกาสเยอะแต่ทำไม่ได้สุดท้ายโดนลงโทษ

สถานการณ์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในแมตช์นี้คล้ายๆ กับเกมที่พวกเขาแพ้จุดโทษ มิดเดิลสโบรช์ ตกรอบ 4 ศึกเอฟเอ คัพ เพราะทีมของกุนซือราล์ฟ รังนิก สร้างโอกาสได้เยอะในครึ่งแรก แต่ดันขาดความเฉียบคม

หากไม่นับรวมจังหวะที่ ราฟาแอล วาราน ทำประตูได้แต่ถูก “วีเออาร์” ริบคืนเนื่องจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไปทำฟาวล์ผู้เล่นเบิร์นลี่ย์ และอีกจังหวะเจ้าบ้านทำเข้าประตูตัวเอง แต่ไม่ได้เพราะ ปอล ป็อกบา ไปทำฟาวล์อีริค ปีเตอร์

แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างโอกาสได้หลายครั้ง และที่เห็นสมควรอย่างยิ่งว่าน่าจะเป็นประตูก็คือจังหวะที่ เอดินสัน คาวานี่ มีโอกาสโขกระยะ 2 หลาแต่โดน นิค โป๊ป เซฟเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนอีกจังหวะเป็นของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ซัดเต็มข้อแต่โดน โป๊ป ปฎิเสธเช่นเคย

จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แมนฯ ยูฯ ขาดความเฉียบคมอย่างมาก เพราะหากพวกเขาสามารถสร้างโอกาสได้มากมายแต่ไม่สามารถฆ่าคู่แข่งให้ตายได้ สุดท้ายก็มีสิทธิ์โดนสวนกลับหน้าหงายอย่างที่เห็น !!

ฉะนั้นนี่คือการบ้านอีกหนึ่งข้อที่ รังนิก ต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วน เช่นเดียวกับการเล่นลูกตั้งเตะโดยเฉพาะลูกเตะมุมที่ “ปีศาจแดง” ยังไม่สามารถสร้างประโยชน์จากจังหวะเหล่านี้ได้เลย

 

3. ดร็อปโรนัลโด้ เพิ่มสถิติสุดเลวร้าย

แมตช์นี้เชื่อว่าสาวก “เร้ด อาร์มี่” อาจจะรู้สึกไม่ค่อยปลื้มที่ รังนิก ดร็อป คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าด้วยศักยภาพของ “ซีอาร์ 7” สามารถขู่แนวรับคู่แข่งได้สบายๆ แต่การไม่มีเขาอยู่ในสนามทำให้กองหลังเบิร์นลี่ย์ไม่ต้องกังวลในการรับมือกับแนวรุกคนอื่นๆ ซักเท่าไหร่

จะว่าไปแล้วมันก็อาจจะจริง เพราะหากพิจารณาจากโอกาสที่ แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะจังหวะการยิงของ คาวานี่ และ แรชฟอร์ด หากเปลี่ยนเป็น โรนัลโด้ มีความเป็นไปได้สูงที่ “ผีแดง” จะได้ประตู

อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงแค่การคาดคะเนนหลังจบเกมเท่านั้น เพราะความจริงสถานการณ์ของทีมอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดหาก โรนัลโด้ อยู่ในสนามตั้งแต่ต้นเกม ฉะนั้น รังนิก คงพิจารณาถึงความเหมาะสมแล้ว จึงเลือกที่จะดร็อป “เฮียโด้” เอาไว้ข้างสนาม

กระนั้นสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดสำหรับ โรนัลโด้ นอกจากการโดนดร็อปแล้ว เขายังทำสถิติสุดเลวร้ายนั่นก็คือไม่สามารถยิงประตูคู่แข่งได้ 5 แมตช์ติดต่อกันเท่ากับสมัยที่เล่นให้ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2010

งานนี้แมตช์ต่อไปที่จะรับมือ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เจ้าตัวต้องงัดฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายสถิติ (ที่ไม่อยากทำ) ยิงไม่ได้ 6 เกมติดต่อกันติดตัวไปตลอดชีวิต

 

4. ป็อกบา โดดเด่น, ซานโช่ พัฒนา

นับตั้งแต่เกม “แดงเดือด” ที่โดนใบแดงแมตช์ แมนฯ ยูฯ โดน ลิเวอร์พูล ถล่มยับ 0-5 ป็อกบา ไม่ได้หวนกลับมาเล่นเกมลีกอีกเลยเนื่องจากบาดเจ็บ และนี่คือเกมแรกที่เขาได้ลงสนามในลีกที่คุ้นเคย ซึ่งผลงานก็ถือว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ดาวเตะแชมป์โลก ลงเล่นเคียงข้าง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และทำหน้าที่เชื่อมเกมได้ดีเยี่ยม แถมยังเป็นคนที่ยิงประตูสุดสวยให้ทีมขึ้นนำด้วย ขณะเดียวกันก็ยังเกือบมีส่วนให้ทีมได้ประตูที่สอง แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวโดนจังฟาวล์ไปซะก่อน

คงจะไม่ผิดอะไรถ้าจะบอกว่า ป็อกบา เป็นหนึ่งในแข้งที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของทีมในเกมเยือน “เดอะ คลาเร็ตส์” และ รังนิก คงคาดหวังที่จะให้เขาฟิตเต็มร้อยในช่วงที่เหลืออยู่ของซีซั่น เพื่อช่วยทีมในการลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์

ส่วนนักเตะอีกรายที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นก็คือ เจดอน ซานโช่ ซึ่งเขามีส่วนกับเกมเยอะมาก และสร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับเจ้าบ้านได้ตลอด โดยทุกครั้งที่ได้บอล อดีตสตาร์โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กล้าที่จะกระชากลากเลื้อยใส่กองหลังเบิร์นลี่ย์ตลอด

แน่นอนว่าตอนนี้ ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 25 กำลังพัฒนาฟอร์มดีวันดีคืน และเชื่อว่าอนาคตของเขากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะไปได้สวยมากกว่านี้หากสามารถรักษาผลงานยอดเยี่ยมต่อไปเรื่อยๆ

 

5. สถานการณ์ท็อปโฟร์สั่นคลอน
หากเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถบุกมาเก็บสามคะแนนได้ นั่นจะทำให้พวกเขาตามหลัง เชลซี ทีมอันดับ 3 เพียง 6 แต้มแถมยังมีเกมเหลืออยู่ในมืออีก 1 แมตช์ด้วย ซึ่งงานนี้ “ผีแดง” มีสิทธิ์ฝันถึงโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เลย

อย่างไรก็ตามเกมฟุตบอลมันไม่มีบัญญัติตายตัว เพราะอะไรที่ว่าน่าจะได้แต่สุดท้ายกลับผิดหวัง เนื่องไม่มีใครเชื่อว่า เบิร์นลี่ย ทีมกิมบ๊วยจะต้านทานสโมสรระดับศักดินาอย่าง “ปีศาจแดง” ที่อุดมไปด้วยแข้งซูเปอร์สตาร์เต็มทีม

กระนั้นหลังสิ้นเสียงนกหวีดยาวจากท่านเปาสกอร์บอร์ดแสดงผลการแข่งขันว่า “ปีศาจแดง” ทำได้เพียงเสมอทีมหนีตาย 1-1 เก็บได้เพียงแต้มเดียว ขณะที่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เฉือน วัตฟอร์ด 1-0 ส่งให้ “ขุนค้อน” ทำคะแนนแซงหน้าขึ้นไปอยู่อันดับ 4 เรียบร้อย

แม้ว่า แมนฯ ยูฯ จะตามหลังแค่ 1 คะแนนและแข่งน้อยกว่า 1 นัด แต่ไม่ใช่ เวสต์แฮม ทีมเดียวที่แย่งท็อปโฟร์ เมื่อมองไปดูตารางคะแนนทั้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ อาร์เซน่อล มีโอกาสที่จะทำแต้มแซงหน้าพวกเขาได้สบายๆ เพราะ “ไก่เดือยทอง” แข่งน้อยกว่า 3 นัด ส่วน “ปืนใหญ่” 2 แมตช์

ฉะนั้นลองนึกภาพที่เลวร้ายที่สุดเมื่อ สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล เก็บชัยชนะในเกมตกค้างได้หมด งานนี้อันดับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไปอยู่ที่ไหน คงไม่ต้องอธิบายแล้วมั้ง

อ้างอิง
https://www.siamsport.co.th/football